วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ประวัติกีฬายิมนาสติก


ประวัติกีฬายิมนาสติก
ยิมนาสติกเป็นกีฬาสากลประเภทหนึ่งที่จัดเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ยิมนาสติกมาจากภาษากรีก ซึ่งหมายถึงวิธีการทำให้ร่างกายสวยงาม มีทรวดทรงดีด้วยวิธีการเปลือยกายเล่นกีฬาและมีการประกวดทรวดทรง พร้อมกับมีการแข่งขันกีฬากลางแจ้งต่อหน้าประชาชน ผู้ที่มีร่างกายสง่างาม มีความสามารถทางการกีฬาก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะเลิศ ได้รับการต้อนรับจากประชาชนโดยช่างแกะสลักจะสลักรูปหินอ่อนตั้งไว้บริเวณ รั้วสนามกีฬา การทำให้ร่างกายงามสง่านี้ ชาวกรีกเป็นผู้ริเริ่มและนิยมกันมากในสมัยโบราณ นักกีฬาจะบริหารกายด้วยวิธีต่างๆ ทั้งมือเปล่า และใช้เครื่องมือประกอบ สถานที่ซึ่งใช้ฝึกหัดโดยเฉพาะนี้เรียกว่า โรงฝึกพลศึกษา กิจกรรมใดที่นำมาบริหารร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และสง่างาม ก็จะเรียกกิจกรรมนั้นว่าการเล่นยิมนาสติก เช่น การวิ่ง การเล่นผาดโผน ยกน้ำหนัก ไต่เชือก กายบริหาร และศิลปะการต่อสู้หลายประเภท ตลอดจนกีฬาอื่นๆแต่ระยะต่อมาความหมายของคำว่า ยิมนาสติก ได้เปลี่ยนไป เนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นจนมีความสมบูรณ์ในตัวของมันเอง จึงถูกตั้งชื่อใหม่และแยกตัวออกจากคำเดิมอย่างเด็ดขาด คงเหลือไว้เฉพาะบางประเภท เช่น การฝึกหัดท่าผาดโผนบนเบาะ และบนเครื่องมือซึ่งติดตั้งอยู่กับที่ภายในห้องยิม(Apparatus) ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมชั้นสูงที่ส่งเสริมความคล่องแคล่วว่องไว และทดสอบความสามารถของตนเอง เช่น บริหารกาย (Calisthenics) ยืดหยุ่น การทรงตัว ม้าหูและม้าหมุน ราวทรงตัว ไต่เชือก ต่อตัว ราวเดี่ยว ราวคู่ เป็นต้น
กีฬาประเภทนี้เริ่มต้นเมื่อใดนั้นไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัด แต่มาปรากฏก่อนคริสต์ศักราช 2600 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาวจีนได้มีการฝึกท่ากายบริหาร และคิดประดิษฐ์ท่าบริหารกายขึ้น เพื่อใช้ในการบำบัดทางการแพทย์แบบจีน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ชาวจีนได้มีการคิดท่าบริหารกายให้เกิดความแข็งแรง และถือว่าเป็นการป้องกันและรักษาโรคได้ด้วย เรียกว่า ยิมนาสติก เพื่อการบริหารร่างกายและการฟื้นฟู นอกจากนั้นชาวจีนยังมีการละเล่นกายกรรมในลักษณะของการต่อตัว ไต่เชือก และการตีลังกาต่างๆ ซึ่งมีลักษณะเหมือนยิมนาสติกอย่างหนึ่งในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามเราเชื่อกันว่า การเริ่มต้นของกีฬายิมนาสติกอย่างแท้จริงนั้นคือ สมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์แห่งชาวกรีกและโรมัน โดยเฉพาะกรีกโบราณเป็นประเทศแรกที่สนใจและมีบทบาทอันสำคัญต่อกีฬายิมนาสติก แม้กระทั่งคำว่า ยิมนาสติก ก็เป็นภาษากรีก แบบหรือระบบของท่าบริหารร่างกายท่าต่างๆ ที่ใช้กันสมัยโรมันก็คิดและประดิษฐ์ขึ้นโดยนักศึกษาสมัยโบราณของกรีก และพลเมืองทั่วทั้งประเทศได้ยึดถือเป็นแบบฉบับหรือระบบของท่าบริหารกาย มาตรฐาน โดยฝึกสอนให้แก่เยาวชนตามสถาบันทุกแห่ง ยิมนาสติกในประเทศกรีกเริ่มต้นและพัฒนาไปพร้อมๆกับวิทยาการด้านศิลปะและ ดนตรี ชาวสปาร์ต้ามีความศรัทธาเรื่องยิมนาสติกมากที่สุด โดยรัฐได้ตั้งข้อกำหนดให้มีการฝึกหัดยิมนาสติกแก่เยาวชนของชาติทุกคนตลอดจน เด็กหญิง กิจกรรมประกอบด้วย ยืดหยุ่น เต้นรำ วิ่ง กระโดด ไต่เชือก และการเคลื่อนไหวทรงตัว
เมื่อจักรวรรดิโรมันมีอิทธิพลเหนือดินแดนกรีก โรมันก็ได้ลอกแบบกิจกรรมทางพลศึกษาทั้งหมดไปจากกรีก แต่ดัดแปลงนำไปใช้ฝึกทหารของตน แต่ทันทีที่จักวรรดิกรีกและโรมันเสื่อมลง ทั้งด้านวัฒนธรรมและกีฬายิมนาสติกก็เสื่อมโทรมลงไปด้วย ตลอดจนกิจกรรมทางการออกกำลังกายประเภทต่างๆ รวมทั้งการประกวดก็ถูกทิ้งไปจนหมด นับเป็นระยะที่การพลศึกษาได้เข้าสู่ยุคมืด ตลอดจนถึงยุคกลางระหว่างศตวรรษที่ 14-16 ครั้นเข้าสู่ยุคฟื้นฟู กิจกรรมทางพลศึกษาก็ค่อยๆตื่นตัว และได้ขยายตัวออกไปสู่ประเทศต่างๆในทวีปยุโรป
ในปี พ.ศ. 2266-2233 Johann Basedow แห่งเยอรมันนี นักการศึกษาที่สำคัญได้บรรจุการออกกำลังกายแบบยิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตร ของโรงเรียน เมื่อปี พ.ศ.2319
ในปี พ.ศ. 2302-2382 นักการศึกษาอีกผู้หนึ่งคือนาย Johann Guts Muths ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "คุณปุ่แห่งกีฬายิมนาสติก"ได้บรรจุวิชายิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตรของโรง เรียนปรัชเซีย และท่านผู้นี้ยังได้เขียนตำราที่มีคุณค่าต่อการศึกษาไว้หลายเล่ม รวมทั้งตำรายิมนาสติกสำหรับเยาวชนด้วย นับว่าเป็นตำรายิมนาสติกเล่มแรกของโลก
ปีพ.ศ. 2321 - 2395 นักการพลศึกษาอีกท่านหนึ่งคือ Friedrich Jahn เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์ฝึกเทิร์นเวอร์เรียน (Turnverein) อันมีแนวโน้มไปในทางการแสดงออกถึงความรักชาติ โครงการนี้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล ดังนั้นจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว ศูนย์ฝึกดังกล่าวประกอบด้วยบริเวณลานฝึกอันกว้างใหญ่ผู้เข้าฝึกอบรมจะเข้า ร่วมได้ทั้งครอบครัว และได้คิดประดิษฐ์เครื่องมืออุปกรณ์การฝึกหลายอย่าง ในจำนวนนี้มีเครื่องอุปกรณ์ยิมนาสติกด้วยคือ ราวเดี่ยว ราวคู่ ไซค์ฮอสลองฮอส ชนิดสั้น(Buck) ต่อมาสงครามปลดแอกได้เสร็จสิ้นลง มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารประเทศ และนโยบายการบริหารประเทศได้เปลี่ยนแปลงไป พฤติกรรมของนาย Friedrich Jahn ถูกเข้าใจผิด จึงถูกจับเข้าคุกในขอหามีแผนการณ์คิดจะล้มล้างรัฐบาล ดังนั้นสมาคมเทิร์นเวอร์เรียน ซึ่งยังมีคนนิยมอยู่ก็ต้องดำเนินไปอย่างซ่อนเร้น และกระจัดกระจายไปสู่ประเทศอื่นๆในยุโรป และข้ามไปสู้สหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา
ปีพ.ศ. 2353 - 2401 นักการศึกษาที่มีความสำคัญต่อวงการพลศึกษาอีกท่านหนึ่งคือ Adole Spiess ชาวสวีส เป็นผู้เสนอให้บรรจุวิชายิมนาสติกเข้าไว้ในหลักสูตรของโรงเรียนในประเทศ สวีสเซอร์แลนด์
นักการศึกษาทางด้านพลศึกษาอีกท่านหนึ่งคือ Perhr Ling ชาวสวีเดน ผู้มีความเชื่อว่ายิมนาสติกมีคุณค่าทางการบำบัดและแก้ไขความบกพร่องของร่าง กายได้ เขาได้คิดค้นท่าบริหารร่างกายประเภทบุคคลขึ้น และยังเป็นผู้คิดประดิษฐ์อุกรณ์การออกกำลังกาย อันเป็นที่รู้จักในนามอุปกรณ์แบบสวีดิซ (Swedish Apparatus) รวมทั้งราวติดผนังและหีบกระโดดด้วย
นักการศึกษาที่มีความสำคัญต่อวงการพลศึกษาอีกท่านหนึ่งคือ Franz Nachtegall ได้ริเริ่มการตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูยิมนาสติกเป็นแห่งแรก ณ เมืองโคเปนเฮเกน
วิวัฒนาการของวงการยิมนาสติกในสหรัฐอเมริกาเริ่มขึ้นพร้อมๆกับการพลศึกษาของ ชาวยุโรปในระยะแรก ชาวยุโรปซึ่งเคยสังกัดอยู่ในสมาคมเทิร์นเวอร์เรียนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่ สุดคือ นำเอาสมาคมดังกล่าวเข้าไปตั้งในสหรัฐอเมริกา โดยได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่นี้ ครั้นต่อมาสมาคมมีสโมสรเพิ่มขึ้นก็มีความต้องการครูผู้สอนเพิ่มขึ้น ดังนั้นในปี พ.ศ. 2408 จึงได้มีการจัดตั้งวิทยาลัยยิมนาสติกขึ้นเป็นแห่งแรกที่เมืองอินเดียนาโปลิ ส รัฐเดียนา ชื่อ Nolmal College of American Gymnastic ในระยะเวลาสองสามปีต่อมา สถาบันการศึกษาแห่งนี้ก็สามารถผลิตครูยิมนาสติกผู้มีความสามารถและมีกิจกรรม อื่นๆอย่างมากมาย
ชาวอเมริกันคนแรกที่มีความสำคัญต่อวงการยิมนาสติกคือ Dr.Dudlay Sargent ขณะที่เขายังเป็นนักเรียนอยู่นั้น ได้เป็นครูสอนยิมนาสติกที่วิทยาลัยโบวดอย (Boe Doin College) ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี เขาได้บรรจุกิจกรรมประเภทนี้เข้าไว้ในหลักสูตรของระดับวิทยาลัยอย่างเป็นทาง การ ต่อมาได้ไปอยู่ ณ มหาวิทยาลัยเยล และย้ายจากมหาวิทยาลัยเยลไปอยู่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในตำแหน่งผู้อำนวยการเฮเมนเวย์ ยิมเนเซียม ซึ่ง Dr.Sargent ได้คิดอุปกรณ์ยิมนาสติกขึ้นหลายอย่าง รวมทั้งรอกน้ำหนัก (Pulley Weights) เครื่องมือบริหารขาและนิ้วมือ และยังเป็นผู้พัฒนาระบบทดสอบความสามารถของมนุษย์ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพทางร่างกายของเด็กนักเรียนด้วย
สมาคม Y.M.C.A ในสหรัฐอเมริกา ก็นับว่าเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อวงการยิมนาสติกเช่นกัน กล่าวคือ ทางสถาบันได้จัดกิจกรรมเข้าไว้รวมกับโปรแกรมทางพลศึกษาประเภทอื่นๆด้วย สมาคมทุกแห่งได้ติดตั้งเครื่องอุปกรณ์ยิมนาสติกไว้ในโรงยิมเนเซียมเพื่อ บริหารแก่สมาชิก และมีครูผู้สอนด้านนี้โดยตรง โรงเรียนฝึกหัดครูยิมนาสติกของY.M.C.A. แห่งแรกคือที่สปริงฟิลด์มลรัฐแมสซาซูเซตส์ บุคลากรผู้ริเริ่มให้การพลศึกษาเคลื่อนไหวไปได้อย่างขนานใหญ่ควบคู่ไปกับแนว การศึกษาก็คือ Dr. Luther Gulick
ครั้นมาในระยะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดมีกิจกรรมทางการกีฬาใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายชนิด ดังนั้นกิจกรรมยิมนาสติกจึงได้รับความสนใจ และมีการปรับปรุงเพื่อให้ทันสมัย ทำให้ยิมนาสติกได้กลายเป็นกีฬาที่มีกฏกติกาอย่างสมบูรณ์ และมีการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย โรงเรียน และสโมสรโดยทั่วไป
ปีพ.ศ. 2439 การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีก ยิมนาสติกได้มีการแข่งขันในโอลิมปิกครั้งนี้ด้วย และมีกิจกรรมแข่งขัน เช่น วิ่งเร็ว กระโดดสูง กระโดดไกล กระโดดค้ำถ่อ พุ่งแหลน ทุ่มน้ำหนัก ว่ายน้ำ ราวคู่ ราวเดี่ยว คานทรงตัว และ Free Exercise
ปีพ.ศ. 2446 ได้มีการจัดตั้งสหพันธ์ยิมนาสติกสากลขึ้น (Federation International De Gymnastic) มีชื่อย่อว่า F.I.G. โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสวีสเซอร์แลนด์ และได้จัดให้มีการแข่งขันยิมนาสติกชิงแชมป์โลกขึ้น โดยกำหนดจัดการแข่งขัน 2 ปีต่อครั้ง
ต่อมาในปีพ.ศ. 2460 หลังจากการแข่งขันยิมนาสติกชิงแชมป์โลกครั้งที่ 7 ก็ไดเปลี่ยนการแข่งขันให้เป็น 4 ปีต่อครั้งเหมือนกับกีฬาโอลิมปิก โดยจะจัดก่อนโอลิมปิก 1 ปี
ในระยะแรกของการแข่งขันยิมนาสติก จะเป็นการแข่งขันเฉพาะประเภทชาย ต่อมาปี พ.ศ. 2471 จึงจัดให้มีการแข่งขันประเภทหญิงด้วย ซึ่งตรงกับโอลิมปิก ครั้งที่ 9 พ.ศ. 2471
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมาแล้ว กิจกรรมของยิมนาสติกที่ใช้ในการแข่งขันส่วนหนึ่งก็คล้ายกับยิมนาสติก ปัจจุบัน อีกส่วนหนึ่งก็เป็นกรีฑาในปัจจุบัน บางครั้งก็มีว่ายน้ำด้วย ทางสหพันธ์ยิมนาสติกสากลจึงคิดว่าควรจะแยกการแข่งขันยิมนาสติกออกจากกรีฑา
ในปี พ.ศ. 2477 เริ่มบรรจุม้ากระโดด (Vaulting Horse) และบาร์ต่างระดับ (Uneven Bars) เข้าไว้ในการแข่งขันกีฬายิมนาสติกด้วย